ที่ผ่านมาทางซานฟรานซิสโกได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงในด้านของเทคโนโลยีแห่งแรกของโลกแต่กลับเป็นเมืองแรกในสหรัฐอมริกาที่ได้มีการออกกฏหมายห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐและตำรวจใช้ Facial Recognition หรือที่เรารู้จักกันว่า เทคโนโลยี จดจำใบหน้า เพราะว่าเทคโนโลยีนี้อาจจะเป็นภัยที่คุกคามต่อเสรีภาพของประชาชนนั่นเอง
ด้านของผู้จัดกิจกรรมรณรงค์ระดับรากหญ้าของมูลนิธิ Electronic Frontier Foundation นายเนธาน เชียร์ด ได้กล่าวกับทางวีโอเอว่า เทคโนโลยีนี้จะทำให้หลายคนนั้นได้รับความกังวลเรื่องผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออก
ด้วยเหตุที่เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานด้านอื่นๆ ของรัฐฯ สามารถที่จะแทรคหรือติดตามพลเมืองได้นั่นหมายความว่ามันอาจจะส่งผลกระทบต่อสิทธิในการแสดงออกของประชาชนตามบทบัญญัติเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับที่ 1 หรือ First Amendment ที่อาจจะก่อให้เกิดประเด็นที่ทั่วโลกต่างก็กังวัลใจเป็นอย่างมากทีเดียว
เทคโนโลยี Facial Recognition มันไม่ใช่เทคโนโลยีที่พึ่งเกิดขึ้นมาแต่เพียงในเวลาไม่กี่ปีกลับเป็นเทคโนโลยีที่ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วล้ำหน้าไปมาก ส่วนทางด้านของ Apple ก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้เกี่ยวกับกลไกในการปลดล็อคโทรศัพท์ไอโฟนในรุ่นล่าสุด
จึงทำให้ทางด้านของสภาคองเกรสได้มีการออกมาประเมิณกันว่า เทคโนโลยี Facial recognition นั่นจะมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพพลเมืองอย่างไรบ้างแต่ก็ยังมีผู้ที่เห็นต่างที่ได้นำเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้โดยเฉพาะไปใช้ในการแยกแยะใบหน้าของคนสีผิวและผู้หญิง และทาง จอย บูว์ลัมวีนีผู้ก่อตั้งองค์กรที่ส่งเริ่มการใช้ปัญญาประดิษฐ์ได้กล่าวว่า..
ควรที่จะมีการยับยั้งการใช้เทคโนโลยีนี้จนกว่าจะมีการศึกษาผลกระทบโดยที่น่าจะออกกฎไม่ให้ตำรวจใช้ชั่วคราวเพระว่ามันได้มีการนำเอาไปใช้ในทางที่ผิดแต่ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุกการใช้โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานด้วยไบโอเมทริคส์แต่ตอนนี้เมืองอื่นๆ ของทางสหรัฐฯก็ได้มีการพิจารณากันอยู่แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้จะออกกฎหมายได้ทันกับการนำเอาไปใช้แล้วหรือไม่